วิธีการเดินทางจากสนามบิน Heathrow มายังใจกลางเมือง london ได้แก่
1. Taxi หรือ Cap ถ้าไม่ยี่หระเรื่องเงินละก็ สะดวกสุด แต่ก็แพงหูดับตับไหม้
2. รถไฟ มี 2 ทางให้เลือก คือ
- เร็วและแพงหน่อย: Heathrow Express มีรถทุกๆ 15 นาที และใช้เวลาเพียง 15 นาที ก็ถึงสถานนี้ Paddington ราคา 18 GBP
- ถูก แต่ช้ากว่า: Tube Piccadily line (สายสีน้ำเงิน)
3. MiniCoach เป็นบริการ แบบ door to door มีรถบริการตลอดคืน ราคาเริ่มต้นที่ 21.50 GBP
4. Bus ของ nationalexpress (ในเวปไซด์ของอันนี้ จริงๆ แล้วมีบริการขนส่งแบบอื่นด้วยค่ะ)
ข้อดีของที่นี่ คือ ตั๋วทุกชนิดแทบจะซื้อและจองเวลาผ่าน Internet ได้ทั้งหมด และถ้าเรารู้เวลากลับที่แน่นอน การจองแบบ round จะได้ตั๋วที่ถูกกว่า
เอาล่ะ...เราเดินทางเข้าเมืองกันเรียบร้อย มาว่าต่อถึงการเดินทางใน London กันต่อ
หลักๆ สำหรับคนงบน้อยอย่างเราๆ มี Bus กับ Tube
จริงๆ แล้ว Bus ก็ครอบคลุมไปทั้งเมือง บางคนอาจจะคิดว่าน่าจะดีกว่า นั่งไปเห็นวิวไปด้วย แต่ช้าก่อน...เพราะ London อากาศค่อนข้างเย็น ในรถจึงไม่มีแอร์ นั่นหมายความว่าเราจะรู้สึกอึดอัดมาก ประกอบกับการที่รถติดมากกกก และเป็นรถสองชั้น บอกตรงๆ ว่าเวียนหัวค่ะ ถ้ามี Tube ไปถึง ขอเลือกอันหลังดีกว่า ค่ารถต่อเที่ยว 2 GBP และมีรถบัสวิ่งให้บริการตลอดคืน เรียก night bus Download Bus map ได้ที่นี่
หน้าตาของ Double deck หรือรถเมล์สองชั้น...คันนี้เป็นรุ่นเก่าและปลดระวางแล้ว
แต่รุ่นเก่านี้ก็ยังมีวิ่งให้เห็นอยู่นะคะ, บรรยากาศภายในรถ
แล้วก็มาถึงพระเอกของเรา คือ Train เป็นจริงแล้วแบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ Tube หรือ Subway, DLR, Tram, Rail
เมื่อเราโหลดแผนที่มาดู จะเป็นว่าในแผนที่ได้แบ่งออกเป็น 9 Zone แต่จากโซน 6 ออกไป ถือว่าออกนอกลอนดอนไปแล้ว โดยทั่วไปแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ใน London ไงๆ ก็ไม่เกินโซน 2
การดูโซนและรถไฟชนิดต่างๆ ให้ดูจาก แผนที่ นี้ค่ะ
1. Tube หรือ Subway จะเป็นอะไรที่เราใช้มากที่สุด เพราะครอบคลุมสุดแล้ว Download แผนที่ Tube
มองเห็นเจ้านี่...บอกว่าสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ตรงนี้นั่นเอง
2. DLR (Docklands Light Railway System) เป็นรถไฟลอยฟ้า วิ่งไปทางตะวันออก (East) ของลอนดอน (ใน map จะเป็นสายสีเขียวเส้นคู่) Download แผนที่ DLR
3. Tramlink จะมีแค่สายเดียว วิ่งทางใต้ของลอนดอน (ใน map จะเป็นสายสีเขียวมีจุดไข่ปลา) Download แผนที่ Tramlink
4. Rail แบ่งเป็น London overground เป็นรถไฟบนดินที่บริการในตัวเมืองลอนดอน (ใน map จะเป็นสายสีส้มเส้นคู่) Download แผนที่ overground network และ Train จริงๆ คือแบบเป็นรถไฟที่วิ่งมุ่งหน้าออกนอกเมืองลอนดอน มีหลายบริษัทมากๆ ที่ให้บริการ ดูรายละเอียดการให้บริการรถไฟได้ที่ www.nationalrail.co.uk, www.rail.co.uk, http://www.britrail.com เราสามารถจองทาง internet ล่วงหน้าได้หมด ยิ่งจองล่วงหน้านานก็ยิ่งถูกกว่า และก็ลองจองผ่านทางเวปที่แตกต่างกัน เพื่อหาที่ๆ ได้ราคาถูกที่สุด ^_^ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่นี่จัดว่าแพงมหาโหดจริงๆ
ทีนี้เรามาดูเรื่องการท่องเที่ยวใน london ว่าเราจะซื้อตั๋วแบบใดให้ประหยัดที่สุด คงเคยได้ยินเรื่อง Oyster card กันมาบ้าง ไอ้เจ้าการ์ดตัวนี้เหมือนบัตรแบบเติมเงินรถไฟฟ้าบ้านเรานั่นเอง โดยบัตรจะตัดเงินในแต่ละเที่ยวโดยสารแบบที่คำนวนได้ต่ำสุด บัตรแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่เดินทางในแต่ละวันไม่มาก แต่อยู่ใน london นาน ถ้าเป็นแบบเราๆ คือมีเวลาไม่มาก แต่อยากดูมันทุกที่ เดินกันได้ไม่มีเหนื่อยตั้งแต่เช้าจรดเย็น นี่เลย Traveler card มีให้เลือกตั้งแต่ 1,3,7 วัน, รายเดือน โดยจะมีแบบ all day และแบบ off-peak คือ จะไม่เดินทางในช่วงเวลาเร่งด่วนได้ ใช้ได้ตั้งแต่ 9.30 am ไปจนถึง 4.30 am วันถัดไป ซึ่งถ้าซื้อแบบ off-peak จะถูกลงไปอีก) และที่สำคัญเจ้า traveler card นี่สามารถใช้ขึ้นรถ Bus ได้อีกด้วย ^_^ (เวลาขึ้นรถบัสเราก็แค่โชว์ตั๋วให้คนขับดู...ง่ายๆ) ดูโซนที่เราต้องใช้ให้ดีๆ และเลือกซื้อให้เหมาะกับเรา จะช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะมาก
ตอนที่ไปเที่ยว 3 วันแรกที่ไปถึง เที่ยวกันแต่ในลอนดอน ก็เลยซื้อ 3 days traveler card ราคา 18.4 GBP แต่มีอยู่วันหนึ่งต้องเอารถเช่าไปคืนที่ London airport ขากลับต้องนั่ง DLR กลับ ซึ่งสถานีนี้อยู่โซน 3 จำได้ว่าซื้อตั๋วเที่ยวเดียวไป 4 GBP (แต่ไปเช็คราคาในเวปตอนนี้มันไม่ใช่ งงเหมือนกัน เพราะเพิ่งจะเดือนเดียว ขึ้นราคาแล้วหรือไง?) และวันสุดท้ายก็เที่ยวในลอนดอนอีกวัน ประมาณว่าเก็บตก ก็ซื้อตั๋วแบบ one day traveler card off-peak เพราะส่วนใหญ่แล้วที่เที่ยวกว่าจะเปิดก็ 10 โมงทั้งนั้น ราคา 5.4 GBP (อันนี้ราคาตรงกับในเวป)
เก็บตก: การขึ้น tube ถ้าใครไปญี่ปุ่นมาแล้วก็สบาย เพราะง่ายว่ากันมาก สายมีน้อยกว่า ไปถึงจะมีแผนที่แจกอยู่แล้วไม่ต้องปริ้นท์ไปให้เปลืองกระดาษ มีข้อสังเกตุมาฝาก
- ถ้าเราดูแผนที่ tube จะเห็นว่าบางสายเหมือนขนานกัน แต่มันไม่ได้วิ่งในอุโมงค์เดียวกันตลอดทั้งสายจริงๆ ขอยกตัวอย่างสาย dictric line (สีเขียวแก่) และ circle line (สายสีเหลือง) จากสถานี Tower hill (London tower) มาทาง Kensington จะเห็นว่ามีคู่กันตลอด เหมือนจะขึ้นแทนกันได้ แต่จริงๆ แล้วมันอยู่คนละอุโมงในบางช่วง ทำให้ไม่สามารถขึ้นจากชานชะลาเดียวกันในสถานนีเดียวกันได้จริงๆ ให้สังเกตดีๆ
- แต่ละสายบางทีจากแผนที่ดูเหมือนต้นทางจะมาจากสถานีชื่อนี้ แต่ความจริงไม่ใช่ อาจจะเริ่มจากสถานีอื่นในสายนั้นก็ได้ ปลายทางของแต่ละสาย อาจมีมากกว่าหนึ่งแห่ง และชื่อสายเดียวกัน บางทีก็เป็นคนละเส้นเลยก็ได้ เช่น Distric line: Route upminster ไป richmond (หรือ Ealing Broadwa) จะเป็นคนละสายกับ Wimberdon ไป Edgware road
- ในบางช่วงสถานี อาจหารถสายที่ต้องการได้ยาก เพื่อนที่อยู่ที่นั่นพูดให้ฟังตอนแรกก็ไม่เข้าใจ มีอยู่หนึ่งครั้งต้องการยืนรอ circle line ที่สถานี Tower hill เพื่อไป High street kensington แต่รอเท่าไหร่ก็ไม่มาซักที มีแต่ Distric line โผล่มา จำใจโดดขึ้น แล้วไปลง South kensington เพื่อต่อสายเหลืองอีกที (งงมั๊ย) ไปถามเจ้าหน้าที่ก็ได้ทำตอบว่าในหนึ่งสาย อาจใช้รถวิ่งเป็นช่วงๆ ต่อกันให้เป็นหนึ่งสาย แต่ยังคงเรียกชื่อเดียวกันนั่นเอง ^_^
- ในสถานีเดียวกันอาจจะมีสถานีรถไฟในหลายๆ แบบอยู่ซ้อนกัน เช่น ข้างบนรถไฟบนดิน ข้างล่างเป็น tube หรืออาจจะอยู่คนละอาคารเลยก็เป็นได้ ดูลูกศรให้ดีๆ
- ต้องเช็คการเดินทางที่เคาท์เตอร์ขายบัตรวันต่อวัน เพราะอาจมีปิดซ่อมแซม หรือ หยุดเดินรถรายวันได้อีกด้วย
ส่วน tube สายอื่นๆ ไม่ค่อยได้ขึ้นเท่าไหร่ เพราะตัวเองพักอยู่แถว High street kensington road เลยไม่ค่อยมีข้อมูล แต่อย่างไร...ที่นำมาเขียน คงพอทำให้เข้าใจภาพการเดินทางใน london จนพอจะวางแผนได้บ้างจะคะ
หารายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางใน london ได้ ที่นี่ (Official website)
บรรยากาศของสถานีรถไฟต่างๆ
ในรถไฟไม่มีแอร์...ถ้าคนเยอะอึดอัดมากๆ, ช่วงเวลาเร่งด่วน...ผู้คนมากมาย, เพราะสถานีซ้อนกันลึกลงไป...ก็เลยต้องมีบันได้เลื่อน ^_^
หลายๆ จุดในสถานีมีการตกแต่งสภาพแวดล้อมให้สวยงาม และมีการแสดงแบบ street show ให้เห็น

Baker street เป็นสถานีที่เก่าแก่ที่สุด...อายุกว่า 100 ปี
ปิดท้าย...ด้วยภาพสถานีรถไฟยามค่ำคืน
ไหนๆ ก็นะ พ่วงเรื่องการขึ้นรถไฟไปสก๊อตแลนด์เลยก็แล้วกันนะคะ เราซื้อตั๋วไปจากเมืองไทยเป็นของ First great westen โดยจองผ่าน internet ราคาไปกลับประมาณ 34 GBP แล้วก็ให้ส่งไปที่บ้านพักของเพื่อนใน london ที่นั่งในรถจะไม่เหมือนบ้านเรา ในหนึ่งโบกี้มีหันหน้าหันหลังสลับไปมา บางที่นั่งก็ไม่มีโต๊ะตรงกลาง คือแบบว่ามัน mix กันทุกรูปแบบในโบกี้เดียว ตอนเราจองเราเลือกได้ แต่จะได้หรือเปล่าไม่รู้นี่สิ เพราะขาไปนั่งหันหลัง แล้วที่นั่งไม่มีโต๊ะตรงกลางด้วย มันแคบแล้วก็อึดอัดมาก มึนหัวสุดๆ อีกอย่างนึงในรถไฟจะไม่มีม่าน ฝรั่งคงชอบแดดมากๆ กว่าจะถึงเกรียมไปเลย T_T เมื่อขึ้นไปตามที่นั่งจะมี recive เสียบไว้ที่เบาะ หมายความว่าที่นั่งนี้มีคนซื้อตั๋วล่วงหน้าไว้แล้ว เมื่อดูในบิลจะบอกว่าขึ้นที่ไหน ลงที่ไหน ถ้าไม่พอใจที่ตัวเอง ก็นั่งชั่วคราวไปก่อนได้เลยจ้าาา แต่พอเจ้าของเขามาแล้วก็ต้องลุกให้เขานะ แล้วก็อย่าดึงเจ้าบิลนี้ทิ้งไปซะล่ะ เพราะพนักงานรถไฟมีสิทธิ์ตรวจได้ ถ้าไม่มีละเป็นเรื่อง
การจะดูว่าขบวนที่เราขึ้นออกจากชานชลาไหนต้องรอดูจากบอร์ด (สีส้มลิบๆในภาพ) ในช่วงเวลาใกล้ๆ รถจะออก (ใน ticket จะไม่มีบอกไว้ค่ะ) ดังนั้น...คนก็จะมายืนออกันหน้าบอร์ดนี่แหละ (King's cross St.pancras Station ค่ะ)
ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ (รับแต่ credit card ค่ะ), บรรยากาศในชานชลา
ลักษณะรถไฟ, ที่ต้องนั่งแบบนี้...เพราะได้ seat backword เวียนหัวกันเป็นแถว ^_^
อีกเรื่องคือการขึ้น Train หรือ Rail ไปเที่ยวเมืองอื่นในอังกฤษ เช่น ไป wale, scotland หรือไปยังประเทศอีกก็ยังได้ (แต่ไปประเทศอื่นยังไม่มีประสบการณ์ค่ะ) แถบยุโรปนี้เรานั่งรถไฟไปเที่ยวได้หมดเลยค่ะ แต่ต้องวางแผนดีๆ เพราะอย่างที่บอกว่าค่ารถทุกชนิดแพงมาก
โอย...กว่าจะเขียนเสร็จในแต่ละบล็อคจะเป็นลม รูปเยอะ...และก็เรื่องเยอะ ไหนๆ เขียนก็อยากให้ได้ข้อมูลไปบ้าง ดีกว่าเสียเวลาผ่านๆ มาดูแล้วไม่ได้อะไร หวังว่าคงช่วยใครที่กำลังจะไปเที่ยว...แต่ขาดประสบการณ์ตะลุยได้บ้างนะคะ ^_^ (เรื่องราวอังกฤษยังไม่จบค่ะ ยังมีอีกสามตอน...หัวจะระเบิดซะก่อนรึเปล่าก็ไม่รู้)


















